สมดุล และการยืดหยุ่น
สภาพสมดุล วัตถุทั้งหลายที่อยู่นิ่งในกรอบอ้างอิงเฉื่อย เช่น โคมไฟ บันไดที่พิงกำแพงอยู่ คาน ขื่อ และส่วนต่างๆ ของอาคาร ล้วนนับว่าวัตถุอยู่ใน สภาพสมดุลสถิต (static equilibrium) ทั้งนี้หากประมาณว่าผู้สังเกตที่อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนผิวโลกอยู่ในกรอบอ้างอิงเฉื่อย (ความจริงไม่เป็นกรอบอ้างอิงเฉื่อย เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองและเคลื่อนที่ไปรอบดวงอาทิตย์) และวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตัว หรือหมุนด้วยความเร็วเชิงมุมคงตัว อาจกล่าวได้ว่า วัตถุเหล่านี้อยู่ใน สภาพสมดุล หรือ สมดุล (equilibrium) รูป 8.10 แรง F กระทำวัตถุมีแนวแรงห่างจากแกนหมุนเป็นระยะ d ถ้ามีแรงกระทำกับวัตถุที่ ตำแหน่ง จากจุดหมุนดังรูป 8.10
โมเมนต์ของแรงคู่ควบ
พิจารณาจากรูป 8.12 จะได้ว่าโมเมนต์ของแรงคู่ควบ และ รอบแกนหมุน O เป็นโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา และเนื่องจากขนาดของแรงคู่ควบเท่ากัน ดังนั้น ถ้าให้ F เป็นขนาดของแรงคู่ควบแต่ละแรง จะหาผลของโมเมนต์ของแรงคู่ควบ , ได้เป็น
การไสกล่องหรือวัตถุไปบนพื้นราบด้วยแรงในแนวระดับ ดังรูป 8.13 ซึ่งโดยปกติพื้นจะมีความฝืดหรือมีแรงเสียดทาน แผนภาพของแรงทั้งหมดที่กระทำกับวัตถุ สะดวกที่จะแสดงในภาพสองมิติ คือไม่แสดงทางส่วนของความหนา เมื่อแรงกระทำที่ส่วนกลางของวัตถุ สมมุติให้กล่องเป็นวัตถุที่มีความหนาแน่นสม่ำเสมอ น้ำหนักจะเป็นแรงกระทำที่ตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงที่กลางวัตถุ ขณะที่แรงกระทำยังน้อยกว่าแรงเสียดทานที่เป็นไปได้ นั่นคือ
วัตถุจะไม่เคลื่อนที่ แผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุเป็นดังรูป 8.14 แรง f คือแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น และแรง N คือ แรงที่พื้นกระทำกับวัตถุในแนวตั้งฉากกับพื้น เมื่อวัตถุไม่เคลื่อนที่ แสดงว่าอยู่ในสภาพสมดุล แรง f ต้องเท่ากับ F แต่มีทิศตรงกันข้าม ซึ่งสองแรงนี้ประกอบเป็นแรงคู่ควบที่มีโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาขณะที่ แรง W และ N ขนาดเท่ากันและมีทิศตรงกันข้าม ประกอบเป็นแรงคู่ควบที่มีโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา โมเมนต์ของแรงคู่ควบทั้งสองจะต้องเท่ากัน วัตถุจึงไม่หมุนหรือล้มลง คำตอบ แรงที่กำให้วัตถุเริ่มจะเคลื่อนที่พอดีมีค่าเท่ากับ 800 นิวตัน หมายเหตุ จากตัวอย่างทำให้เข้าใจได้ว่า หากแรงกระทำมากกว่า 800 N เพียงเล็กน้อยและจุดที่แรงกระทำต่ำกว่า 6.25 เซนติเมตร วัตถุจะเริ่มไถลและเคลื่อนที่ไปด้วยความเร่งแรงเสียดทานจะลดลงเนื่องจากควรจะคิดจากสัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน์ และแรง 800 N กระทำก่อนที่วัตถุจะเริ่มไถล ถ้ากระทำสูงกว่า 6.25 เซนติเมตร จะทำให้วัตถุเริ่มเอียง (มุมขวาเริ่มยกขึ้น) แต่จะยังไม่ถึงกับล้ม แรงจะต้องกระทำต่อไปจนกว่าแนวของจุดศูนย์ถ่วงพ้นมุมฐานวัตถุจะล้มต่อไปเอง ตัวอย่าง 8.3 กระดานสปริงสำหรับกระโดดน้ำหนัก 400 นิวตัน มีหลักยึดกับกระดานสปริงที่ A และ B ซึ่งห่างกัน ของความยาวของกระดานสปริง ดังรูป 8.15 จงหาขนาดของและทิศของแรงที่ A และ B กระทำต่อกระดานสปริง ขณะที่นักกระโดดน้ำหนัก 600 นิวตันที่ปลายคาน C ยืนนิ่งอยู่
ตัวอย่าง 8.4 บันไดขนาดสม่ำเสมอวางพิงกำแพงเกลี้ยง โดยปลายล่างทำมุม กับพื้นดังรูป 8.17 บันไดหนัก 300 นิวตัน รูป 8.17 แสดงบันไดวางพาดกำแพง วิธีทำ
โมเมนต์ของแรงคู่ควบ
พิจารณาจากรูป 8.12 จะได้ว่าโมเมนต์ของแรงคู่ควบ และ รอบแกนหมุน O เป็นโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา และเนื่องจากขนาดของแรงคู่ควบเท่ากัน ดังนั้น ถ้าให้ F เป็นขนาดของแรงคู่ควบแต่ละแรง จะหาผลของโมเมนต์ของแรงคู่ควบ , ได้เป็น
การไสกล่องหรือวัตถุไปบนพื้นราบด้วยแรงในแนวระดับ ดังรูป 8.13 ซึ่งโดยปกติพื้นจะมีความฝืดหรือมีแรงเสียดทาน แผนภาพของแรงทั้งหมดที่กระทำกับวัตถุ สะดวกที่จะแสดงในภาพสองมิติ คือไม่แสดงทางส่วนของความหนา เมื่อแรงกระทำที่ส่วนกลางของวัตถุ สมมุติให้กล่องเป็นวัตถุที่มีความหนาแน่นสม่ำเสมอ น้ำหนักจะเป็นแรงกระทำที่ตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงที่กลางวัตถุ ขณะที่แรงกระทำยังน้อยกว่าแรงเสียดทานที่เป็นไปได้ นั่นคือ
วัตถุจะไม่เคลื่อนที่ แผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุเป็นดังรูป 8.14 แรง f คือแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น และแรง N คือ แรงที่พื้นกระทำกับวัตถุในแนวตั้งฉากกับพื้น เมื่อวัตถุไม่เคลื่อนที่ แสดงว่าอยู่ในสภาพสมดุล แรง f ต้องเท่ากับ F แต่มีทิศตรงกันข้าม ซึ่งสองแรงนี้ประกอบเป็นแรงคู่ควบที่มีโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาขณะที่ แรง W และ N ขนาดเท่ากันและมีทิศตรงกันข้าม ประกอบเป็นแรงคู่ควบที่มีโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา โมเมนต์ของแรงคู่ควบทั้งสองจะต้องเท่ากัน วัตถุจึงไม่หมุนหรือล้มลง คำตอบ แรงที่กำให้วัตถุเริ่มจะเคลื่อนที่พอดีมีค่าเท่ากับ 800 นิวตัน หมายเหตุ จากตัวอย่างทำให้เข้าใจได้ว่า หากแรงกระทำมากกว่า 800 N เพียงเล็กน้อยและจุดที่แรงกระทำต่ำกว่า 6.25 เซนติเมตร วัตถุจะเริ่มไถลและเคลื่อนที่ไปด้วยความเร่งแรงเสียดทานจะลดลงเนื่องจากควรจะคิดจากสัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน์ และแรง 800 N กระทำก่อนที่วัตถุจะเริ่มไถล ถ้ากระทำสูงกว่า 6.25 เซนติเมตร จะทำให้วัตถุเริ่มเอียง (มุมขวาเริ่มยกขึ้น) แต่จะยังไม่ถึงกับล้ม แรงจะต้องกระทำต่อไปจนกว่าแนวของจุดศูนย์ถ่วงพ้นมุมฐานวัตถุจะล้มต่อไปเอง ตัวอย่าง 8.3 กระดานสปริงสำหรับกระโดดน้ำหนัก 400 นิวตัน มีหลักยึดกับกระดานสปริงที่ A และ B ซึ่งห่างกัน ของความยาวของกระดานสปริง ดังรูป 8.15 จงหาขนาดของและทิศของแรงที่ A และ B กระทำต่อกระดานสปริง ขณะที่นักกระโดดน้ำหนัก 600 นิวตันที่ปลายคาน C ยืนนิ่งอยู่
ตัวอย่าง 8.4 บันไดขนาดสม่ำเสมอวางพิงกำแพงเกลี้ยง โดยปลายล่างทำมุม กับพื้นดังรูป 8.17 บันไดหนัก 300 นิวตัน รูป 8.17 แสดงบันไดวางพาดกำแพง วิธีทำ
เสถียรภาพของสมดุล วัตถุเดียวกันขณะอยู่ในสมดุลสถิตอาจวางตัวในลักษณะต่างกัน เช่น ขวด ในรูป 8.19 ก. ข. และ ค. รูปที่ 8.19 ขวดวางตัวในลักษณะต่างกัน ในแต่ละกรณี ขวดจะรักษาสมดุลให้ต่างกัน จากรูป 8.19 ก. เมื่อผลักขวดให้เอียงไปจากเดิมเล็กน้อยแล้วปล่อยมือ ขวดจะเคลื่อนที่กลับมาอยู่ในลักษณะเดิม รูป ก. จัดว่าอยู่ใน สภาพสมดุลเสถียร (stable equilibrium) ถ้าขวดอยู่ในลักษณะดังรูป 8.19 ข. เมื่อผลักขวดอย่างไรก็ตาม ขวดจะเคลื่อนตัวไม่กลับที่เดิมแต่อยู่นิ่งในลักษณะเดิมได้ รูป ข. จัดว่าอยู่ใน สภาพสมดุลสะเทิน (neutral equilibrium) เมื่อวางขวด ดังรูป 8.19 ค. เมื่อผลักขวดเป็น สภาพสมดุลไม่เสถียร (unstable equilibrium) สภาพสมดุลเสถียร รูป 8.20 กราฟของพลังงานศักย์รอบๆ สมดุล การนำหลักสมดุลไปประยุกต์ ตัวอย่าง 8.5 ในการดึงน้ำขึ้นจากบ่อลึกด้วยล้อและเพลาดังรูป ล้อมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 เซนติเมตร และเพลามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร หากถังน้ำที่ต้องการดึงขึ้นมีมวล 20 กิโลกรัม แรงอย่างน้อยที่ต้องดึงเชือกพันล้อต้องเป็นเท่าใด (ประมาณว่ามีความฝืดน้อย) สภาพยืดหยุ่น เราได้ศึกษาสมดุลของวัตถุและแรงที่เกี่ยวข้อง โดยไม่คำนึงถึงส่วนที่แรงเหล่านั้นมีผลต่อรูปร่างของวัตถุ ถ้าแรงที่กระทำต่อวัตถุมีค่ามากพอก็จะทำให้วัตถุเกิด การผิดรูป (deformation) หรือ การแตกหักได้ ในหัวข้อนี้ จะศึกษาผลของแรงที่ทำให้วัตถุเปลี่ยนรูปร่างซึ่งอาจคืนสภาพเดิมหรืออาจไม่คืนสภาพเดิมหลังหยุดออกแรงกระทำและการนำความรู้ที่เกี่ยวข้องไปใช้ประโยชน์ เมื่อนำวัตถุบางชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง หรือแก้วที่เป็นแท่งหรือเส้นลวด มายึดปลายข้างหนึ่ง จากนั้นออกแรงดึงปลายอีกข้างหนึ่ง จะพบว่า ความยาวของเส้นลวดวัตถุยืดออกและส่วนที่ยืดออกแปรผันตรงกับขนาดของแรงดึงเมื่อแรงยังอยู่ในขอบเขตหนึ่ง ความจริงข้อนี้เรียกว่า กฎของฮุก (Hooke’s Law) เมื่อเพิ่มแรงดึงต่อไปเรื่อย ๆ จะพบว่าความยาวของเส้นวัตถุที่ยืดออกจะไม่แปรผันตรงกับขนาดของแรงดึงอีกต่อไป ดังกราฟในรูป 8.21 รูป 8.21 กราฟระหว่างแรงดึงกับความยาวของเส้นโลหะที่เพิ่มขึ้น จากกราฟ จะเห็นว่า ในช่วง oa เป็นไม่ตามกฎของฮุก จุด a ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่ความยาวเส้นโลหะยืดออกแปรผันตรงกับขนาดของแรงดึง จุดนี้ เรียกว่า ขีดจำกัดการแปรผันตรง (proportional limit) ถ้าออกแรงดึงเส้นโลหะให้ยืดอีกเล็กน้อยจนถึงจุด b เมื่อหยุดออกแรงดึงเส้นโลหะจะกลับไปอยู่สภาพเดิมและความยาวสุดท้ายเท่ากับความยาวเริ่มต้น จุดนี้เรียกว่า ขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่น (elastic limit) ส่วนช่วงของกราฟตั้งแต่จุด b เป็นต้นไปเส้นโลหะเริ่มเปลี่ยนรูปไปอย่างถาวร และถ้าออกแรงดึงถึงจุด c จุดนี้เรียกว่า จุดคราก (yield point) ซึ่งเป็นจุดที่ความยาวของเส้นโลหะเพิ่มอย่างรวดเร็ว ขณะที่แรงดึงเพิ่มเล็กน้อย เมื่อออกแรงดึงต่อไป จนเลยจุด d เส้นโลหะจะขาดจุดนี้เรียกว่า จุดแตกหัก (breaking point) ช่วง ob เรียกว่า การผิดรูปแบบยืดหยุ่น (elastic deformation) และสภาพของวัตถุในช่วง เรียกว่า สภาพยืดหยุ่น (elasticity) ซึ่งเป็นสมบัติของวัตถุที่มีการเปลี่ยนรูปร่างเมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่รูปเดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ช่วง ob เรียกว่า การผิดรูปแบบพลาสติก(plastic deformation) ซึ่งเป็นสมบัติของวัตถุที่เปลี่ยนรูปร่างไปอย่างถาวร โดยวัตถุยังไม่ฉีกขาดหรือแตกหัก วัตถุส่วนใหญ่มีทั้งสภาพยืดหยุ่นและสภาพพลาสติกในตัวเอง โดยมีสภาพยืดหยุ่นเมื่อแรงกระทำมีค่าน้อย และมีสภาพพลาสติกเมื่อแรงกระทำมีค่ามาก วัตถุบางชนิดมีแต่สภาพพลาสติก เช่น ดินน้ำมัน ขนมปัง เป็นต้น 8.7.1 แรงที่ทำให้วัตถุผิดรูป วัตถุส่วนมากจะมีรูปร่างผิดไปเล็กน้อยเมื่อมีแรงกระทำ โดยแรงที่มากระทำนั้นอาจกระทำในทิศต่างๆ และวัตถุเหล่านั้นส่วนใหญ่จะประพฤติตามกฎของฮุกเมื่อแรงยังน้อยกว่าขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่น เช่น แท่งโลหะ แก้ว ควอรตซ์ หรือพลาสติก มีวัตถุบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามกฎของฮุกได้เลย เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน เพราะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างถาวรเมื่อได้รับแรงเพียงเล็กน้อย โดยทั่วไป แรงที่กระทำต่อวัตถุแล้วมีผลให้วัตถุผิดรูปไป มี 3 แบบ ได้แก่ 1. แรงดึง (tensile forces) เป็นแรงที่กระทำต่อวัตถุ มีผลให้วัตถุมีความเพิ่มขึ้น 2. แรงอัด (forces of compression) เป็นแรงที่กระทำต่อวัตถุ มีผลให้วัตถุมีความยาวลดลง 3. แรงเฉือน (shear forces) เป็นแรงที่กระทำบนผิววัตถุ มีผลให้ผิววัตถุบิดไป เรียกว่า แรงบิด (forces of torsion) ซึ่งเป็นแรงเฉือนชนิดหนึ่ง
8.7.2 ความเค้นและความเครียด เมื่อออกแรงดึงเส้นลวดโลหะโดยนำวัตถุมาแขวน ดังรูป 8.23 ถ้าพิจารณาส่วนของเส้นลวดขณะอยู่ในสมดุล แรงดึงทั้งสองปลายของเส้นลวดจะมีขนาดเท่ากัน และทุกๆ ส่วนของภาคตัดขวางของเส้นลวดจะได้รับแรงกระทำอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน รูป 8.23 แรงที่กระทำต่อเส้นลวดอัตราส่วนระหว่างแรงดึงและพื้นที่ภาคตัดขวาง ให้ F เป็นแรงดึงซึ่งกระทำในแนวตั้งฉากกับพื้นที่หน้าตัด A ของเส้นลวด เรียกว่า ความเค้นดึง (tensile stress) แทนด้วนสัญลัษณ์ (อ่านว่า ซิกมา sigma) และเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ว่า หรือ (8.6) ความเค้นเป็นปริมาณเกลาร์มีหน่วยในระบบเอสไอเป็น นิวตันต่อตารางเมตร ขณะที่ออกแรงดึงเส้นลวดจะยืดออก ถ้าให้ เป็นความยาวเดิมของเส้นลวดและ เป็นความยาวที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนระหว่างความยาวที่เพิ่มขึ้นกับความยาวเดิม เรียกว่า<b>ความเครียดดึง (tensile strain)</b> แทนด้วยสัญลักษณ์ (อ่านว่า เอพซิลอน epsilon) และเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ว่า เนื่องจากความเครียดเป็นอัตราส่วนระหว่างความยาวที่เปลี่ยนไปกับความยาวเดิม ซึ่งมีหน่วยเดียวกัน ความเครียดจึงไม่มีหน่วย ในกรณีที่แรงกระทำต่อวัตถุเป็นแรงอัด ความเค้นและความเครียดที่เกิดขึ้น เรียกว่า ความเค้นอัด (compressivestress) และ ความเครียดอัด (compressivestrain) ตามลำดับเนื่องจากแรงดึงและแรงอัดทำให้ความยาวของวัตถุเปลี่ยนไป จึงเรียกความเค้นดึงและความเค้นอัดว่า ความเค้นตามยาว (longitudinal stree) และเรียกความเครียดดึงและความเครียดอัดว่า ความเครียดตามยาว (longitrdinal strain) ตัวอย่าง 8.6 ลวดโลหะเส้นหนึ่งยาว 120 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.2 มิลลิเมตร ออกแรงดึงขนาด 380 นิวตัน ทำให้ลวดโลหะมีความยาวเป็น 120.10 เมตร จงหาความเค้นดึงและความเครียดดึงในลวดโลหะ วิธีทำ พื้นที่หน้าตัดของลวดโลหะ ความเค้นดึง คำตอบ ความเค้นดึงและความเครียดดึงในลวดโลหะเท่ากับ 1.0 x นิวตันต่อตารางเมตร และ 8.3 x ตามลำดับ 8.7.3 มอดูลัสของยัง เมื่อมีแรงกระทำต่อวัตถุเช่น ลวดโลหะชนิดหนึ่งๆ จะทำให้เกิดความเค้นและความเครียดในลวดนั้น ความเค้นและความเครียดที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือไม่ คำถามนี้สามารถหาคำตอบได้จากการทดลอง ซึ่งสามารถทดลองได้ด้วยตนเอง ดังการทดลองที่ 8.2 ดังรายละเอียดตอนท้ายของบทนี้ จากการทดลอง สามารถสรุปได้ว่า ความเครียดที่เกิดขึ้นแปรผันโดยตรงกับความเค้นทั้งนี้เมื่อขนาดของแรงดึงไม่เกินขีดจำกัดของการยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึงกราฟระหว่างความและความเครียดเป็นกราฟเส้นผ่านจุดกำเนิด (0.0) และสามารถเขียนความสัมพันธ์เป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ว่า ในที่นี้ E เป็นค่าคงตัวของการแปรผัน ซึ่งจะเป็นค่าคงตัวประจำสำหรับวัตถุหนึ่งๆ มีชื่อว่า ค่ามอดูลัสของยัง (young’s modulus) ดังนั้น หรือ (8.8) มอดูลัสของยังมีหน่วย นิวตันต่อตารางเมตร วัตถุที่มีมอดูลัสของยังสูงแสดงว่าวัตถุนั้นทนต่อการเปลี่ยนแปลงความยาว หรือเปลี่ยนความยาวได้น้อยขณะที่มีความเค้นมาก การดึงทำให้วัสดุยืด ในขณะที่การอัดทำให้ความยาวหด การยืดและหดเป็นเป็นตามค่ามอดูลัสของยังค่าเดียวกัน Thomas Young (ค.ศ. 1773-1829) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ สำเร็จการศึกษาทางแพทย์ แต่สนใจในวิชาฟิสิกส์โดยเฉพาะเรื่องแสง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์มากมาย เช่น ค้นพบการแทรกสอดของแสง เป็นคนแรกที่พบว่า ภายในขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่นอัตราส่วนระหว่างความเค้นและความเครียดของวัตถุชนิดหนึ่งๆ จะมีค่าคงตัวเสมอ รูป 8.24 โธมัส ยัง ตัวอย่าง 8.7 ลวดเหล็กกล้าเส้นหนึ่งยาว 4 เมตร มีพื้นที่หน้าตัด 0.8 ตารางเซนติเมตรผูกวัตถุมวล 7,000 กิโลกรัม แขวนห้อยไว้ในแนวดิ่ง พบว่าลวดเหล็กนี้ยืดออก 1.75 x เมตรลวดเหล็กกล้าเส้นนี้มีมอดูลัสของยังเท่าใด (กำหนดให้ g = 9.8 m/s) วิธีทำ จากสมการ แทนค่า จะได้ = 2.0 x N/m คำตอบ ลวดเหล็กกล้ามีมอดูลัสของยังเท่ากับ 2.0 x นิวตันต่อตารางเมตร ตัวอย่าง 8.8 ลิฟต์มวล 600 กิโลกรัม บรรทุกผู้โดยสาร 10 คน ซึ่งมีมวลเฉลี่ยคนละ 80 กิโลกรัม ถ้าลิฟต์มีความเร่งสูงสุด 2.0 เมตรต่อวินาที จงหาความเครียดดึง ในสายเคเบิลทำด้วยเหล็กกล้าที่แขวนลิฟต์ ซึ่งมีพื้นที่หน้าตัด 4.0 ตารางเซนติเมตร ในขณะที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนที่ขึ้นด้วยความเร่งสูงสุด (กำหนดให้ g = 9.8 m/s และ E =2.0 x N/m ) วิธีทำ แนวคิด ความเครียดดึงหาได้จาก แต่ข้อมูลที่โจทย์กำหนด ไม่สามารถหาความเครียดดึงจากอัตราส่วนนี้ได้ จึงต้องหาจาหความสัมพันธ์ ขณะลิฟต์เคลื่อนที่ด้วยความเร่ง สมการการเคลื่อนที่ของลิฟต์ เขียนได้ดังนี้ T – mg = ma เมื่อ T เป็นความดึงของสายเคเบิล แทนค่าจะได้ T – (1400 kg x 9.8 m/s ) = (600 +800)kg x 2.0 m/s T = 2800 kg m/s + 13720 N = 16520 N จากสมการ ในที่นี้ E = มอดูลัสของยังของสายเคเบิลเหล็กกล้า = 2.0 x N/m = ความเครียดดึงในสายเคเบิล แทนค่าจะได้ คำตอบ ความเครียดดึงในสายเคเบิลเท่ากับ 2.06 x นอกจากมอดูลัสของยังแล้ว ยังมีมอดูลัสประเภทอื่นอีก ได้แก่ <b>มอดูลัสเฉือน</b> (shear modulus) วัตถุที่มีมอดูลัสเฉือนสูง แสดงว่าวัตถุนั้นทนต่อการทำให้ผิวหนึ่งเลื่อนไปบนอีกผิวหนึ่ง และ มอดูลัสเชิงปริมาตร (bulk modulus) วัตถุที่มีมอดูลัสเชิงปริมาตรสูงแสดงว่าวัตถุนั้นทนต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตร มอดูลัสของยัง มอดูลัสเฉือนและมอดูลัสเชิงปริมาตร เรียกรวมกันว่า มอดูลัสสภาพยืดหยุ่น (elastic modulus) ซึ่งเขียนเป็นความสัมพันธ์ในรูปทั่วไปได้ว่า มอดูลัสสภาพยืดหยุ่นของวัตถุบางชนิด แสดงในตาราง 8.1 ตาราง 8.1 มอดูลัสสภาพยืดหยุ่นของวัตถุบางชนิด
มอดูลัสสภาพยืดหยุ่นเป็นสมบัติเฉพาะตัวของวัตถุ ความรู้เกี่ยวกับสมบัติสภาพยืดหยุ่นของวัตถุจึงมีประโยชน์ในด้านวิศวกรรมเป็นอย่างมาก เช่น ในการเลือกวัตถุเพื่อใช้เป็นโครงสร้างอาคาร สะพานหรือชิ้นส่วนของเครื่องจักกล วิศวกรผู้ออกแบบจะต้องเลือกวัตถุที่มีสมบัติสภาพยืดหยุ่นเหมาะสมกับงาน วัตถุที่มอดูลัสสภาพยืดหยุ่นต่างกัน สามารถทนต่อแรงภายนอกต่างกัน วัตถุที่มอดูลัสสภาพยืดหยุ่นสูง จะสามารถทนต่อ้แรงภายนอกได้มากหรือทำให้ผิดรูปได้ยาก ส่วนความเค้นที่ขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่นจะบอกให้ทราบว่าวัตถุนั้นสามารถทนต่อแรงภายนอกมากที่สุดเพียงใด เพื่อสามารถกับสู่สภาพเดิมได้ ดังนั้นในการออกแบบชิ้นส่วนของเครื่องยนต์จำเป็นต้องเลือกใช้วัตถุที่สามารถทนแรงที่มากระทำได้มาก ซึ่งหมายถึง วัตถุนั้นจะต้องมีมอดูลัสสภาพยืดหยุ่นและความเค้นที่ขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่นสูงด้วย วัตถุที่ว่านั้นได้แก่ เหล็กกล้าและโลหะผสม ความทนแรงของวัตถุ ตาราง 8.2 ความทนแรงของวัตถุบางชนิด
การดึงเป็นเส้น (ductile) เป็นสมบัติของวัตถุที่ถูกทำให้มีความยาวเพิ่มขึ้นได้ง่าย หรือให้ขึ้นรูปได้ง่ายโดยได้รับความเค้นเล็กน้อย วัตถุที่มีสมบัตินี้จะมีช่วงผิดรูปแบบพลาสติกยาว เช่น ตะกั่ว ทองแดง |
แบบทดสอบ
1.วัตถุอันหนึ่งมวล 3.2 กิโลกรัม แขวนห้อยอยู่ด้วยเชือก 2 เส้น เส้นหนึ่งอยู่ในแนวราบ อีกเส้นหนึ่งทำมุม 60 ํ กับแนวดิ่ง จงหาแรงดึงของเชือกทั้งสอง
2.เชือกเบาเส้นหนึ่งยาว 8 นิ้ว มีปลายข้างหนึ่งผูกกับจุดๆ หนึ่งบนผิวทรงกลมลูกหนึ่งและปลายข้างหนึ่งผูกไว้กับจุดบนกำแพง ซึ่งปราศจากความเสียดทาน ถ้าทรงกลมรัศมี 21 นิ้วและหนัก 5 กิโลกรัม จงหาแรงตึงในเชือก
เฉลย
1.ตอบ 55.424 Nอ
2.ตอบ 72.5 N
วิดีโอประกอบการเรียน
ใส่ความเห็น